วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2551

งานวันปีใหม่ของพี่โอเปิ้ล

ห่างหายกันไปนาน กับบทความใหม่ๆที่แฟนๆเรียกร้องกันมากมาย (ซะที่ไหนกันล่ะ) ให้รีบๆเขียนซะที แต่แหม ! นักเขียนมือทองอย่างเราจะยอมเขียนง่ายๆ ก็กระไรอยู่...(เล่นตัวซะไม่มี) ไม่ใช่อะไร นักเขียนมือทองอย่างแม่... มัวแต่ตั้งอกตั้งใจไปเที่ยวมาจนเพลิน (หรือขี้เกียจก็ไม่อาจรู้ได้) ตั้งแต่สิ้นเดือนพฤศจิกายน 51 เราก็ไปเที่ยวหัวหิน กลับมาอยู่บ้านได้เพียงอาทิตย์เดียว ชีพจรลงเท้าก็เราก็คันกันยิก ๆๆๆ ต้องเดินออกจากบ้านหิ้วกระเป๋าใบโตๆ เพื่อไปแอ่วเมืองเหนือ...นั่นก็คือ เชียงใหม่ --> ปาย --> ปางมะผ้า --> แม่สะเรียง --> อุทยานแห่งชาติแม่เมย --> อุทยานแห่งชาติตากสิน --> นครสวรรค์ (บึงบอระเพ็ด) --> ปิดท้ายการเดินทางด้วยการเยี่มชม "บึงฉวาก" จังหวัดบรรหาร แจ่มใส..ม่ายช่ายยยย มันคือ สุพรรณบุรีนั่นเอง พักได้เพียง 2 สัปดาห์ เราก็ต้องเดินทางกันต่อไป....ที่หมายคือ "หัวหิน" และ "ปราณบุรี"...พร้อมกับร้องเพลงที่ฮิตติดอันดับของพี่เบริด์ "กลับมายืนที่เดิม.... ที่ที่เคยคุ้นตา...ที่ๆใจนั้นคอยเรียกหา เฝ้าคิดถึงยามที่ห่างไกล" แต่ก่อนที่จะไปถึงที่เดิมๆ เราก็มีการแวะพัก แหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ นั่นก็คือ "ผาด่าง" จะสวยขนาดไหน งดงามเพียงใด ที่ผู้อ่านโปรดติดตามกันได้ในโอกาส (ที่เราจะไม่ขี้เกียจอีก) ต่อไป เอาเป็นว่าเรามาเริ่มเรื่องกันก่อนเลยแล้วกัน
เกริ่นกันมาตั้งนาน แล้วจะอัพเดท สุดยอดทริปอันหรรษา กันโอกาสต่อไปนะ ขอติดไว้ก่อน วันนี้ 26 ธันวาคม 2551 โรงเรียนพี่โอเปิ้ลจัดงานปีใหม่ให้กับเด็กๆ พร้อมกับมีการแสดงของเด็กๆ ให้ผู้ปกครองได้ชมกัน เริ่มต้นเปิดงานตั้งตอน 9 โมงเช้า เด็กๆ เข้าแถวเคารพธงชาติ สวดมนต์ และร้องเพลงสดุดีในหลวงของเรา จากนั้นผู้อำนวยการศูนย์กล่าวเปิดงาน และเริ่มการแสดงของเด็กๆ พี่โอเปิ้ลดูเหมือนจะเริ่มต้นด้วยดีกับการรำประกอบเพลง "มาลัยปีใหม่" และเมื่อจบเพลง น้องบุ๋นเพื่อนของพี่โอเปิ้ลก็เริ่มบรรเลงเพลงโหมโรง..."ฮือออออ ไม่อยากเต้นง่ะแม่ ไม่อยากเต้น" อาจจะเป็นอาการแทรกซ้อนเนื่องจากเพิ่มทานยาแก้อักเสบ ทำให้พี่โอเปิ้ลเริ่มหน้าเจื่อน..นิ่ง..และแล้ว...พี่โอเปิ้ลก็พูดออกมาดังๆว่า "โอเปิ้ลง่วงนอนง่ะแม่... โอเปิ้ลอยากกลับบ้านแล้วง่ะ" และก็ยืนนิ่งๆ ไม่ทำกิจกรรมอีกต่อไป จนมาถึงเพลง "ฉันคือก้อนเมฆ" ที่คุณแม่ตั้งตารอคอยเนื่องจากพี่โอเปิ้ลคุยฟุ้งว่า.."โอเปิ้ลเต้นเพลงฉันคือก้อนเมฆด้วยล่ะแม่ แม่ไปดูโอเปิ้ลด้วยนะ" ประกอบกับการชมของบรรดาคุณครูว่า "น้องโอเปิ้ลเก่งมากเลยค่ะ ตอนซ้อมเต้นสวยด้วย ร้องเพลงได้ด้วย" เป็นเหตุให้แม่อยากดูพี่โอเปิ้ลเต้นใจจะขาดแล้วเอ๋ยยยย..... ใจจะขาดแล้วเอยยยยยย ปรากฏว่า อาการนิ่งของพี่โอเปิ้ลก็ยังคงอยู่ แม้ว่าคุณครูจะเบรคให้พักกินนม และของว่างกันไปเรียบร้อยแล้วก็ตาม... จนในที่สุดช่วงเวลาของการแสดงก็จบลง พร้อมๆกับอาการง่วงหนาวหาวนอนของพี่โอเปิ้ลก็สิ้นสุดลงตามไปด้วย ช่วงของกิจกรรม "ครอบครัวสุขสันต์" เริ่มต้นขึ้น พร้อมกับอาการคึกคักจนออกนอกหน้าว่า "ฉันอยากเล่นแล้ว" ของพี่โอเปิ้ล พี่โอเปิ้ลชวนคุณพ่อ และคุณแม่เล่นเกมส์ ที่คุณครู และพี่เลี้ยง จัดไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็น การวิ่งไปหยิบของตามคำสั่ง ตั้งเม็ดถั่วลงขวดจนเต็ม และ ร้อยมักกะโรนีที่ชุบสีผสมอาหารสวยงามให้เป็นสายสร้อย ทุกกิจกรรมที่กล่าวมาพี่โอเปิ้ลทำสำเร็จด้วยความเต็มใจ และความสนุกสนาน สุดท้ายเมื่อกล่าวปิดงาน คุณแม่ก็กลายเป็นผู้ถือถุงของขวัญอันมากมายที่พี่โอเปิ้ลได้รับจากการเล่นเกมส์ในครั้งนี้ และทันทีที่ก้าวขึ้นรถ พี่โอเปิ้ลก็สิ้นเรี่ยวสิ้นแรงอีกครั้ง....และหลับไปในที่สุด....เฮ้อ..ในที่สุดคุณแม่ก็อดดูพี่โอเปิ้ลแสดงจนได้ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร คราวหน้าคุณแม่หวังว่าจะได้เห็นลูกยืนอยู่บนเวที พร้อมการแสดงที่มีความสุขของลูกก็แล้วกันนะคะ... หมายเหตุ ขอติดผู้อ่านเรื่องภาพเอาไว้ก่อนนะคะ เพราะยังไม่ได้ทำการโหลดลงเครื่องเลย จะรีบทำให้ในเร็ววัน และจะไม่ขี้เกียจอีกต่อไป ขอสัญญา แต่ตอนนี้ขอไปนอนก่อนนะ เพราะชีพจรเริ่มมาเกายิกๆๆๆ ที่เท้าอีกแล้ว... บายๆ









วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

หนีไปเที่ยวที่สามพราน

อิอิ..วันนี้พ่อ แม่ และพี่โอเปิ้ล แอบหนีน้องออสตินไปเที่ยวมาล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะไปรับพัสดุที่ไปรษณีย์สำเหร่ แต่คิดไปคิดมาวันนี้พ่อว่างพอดี ไม่ต้องเข้าไปคุยงานกับอากบที่ ราชดำเนิน sport complex เราก็เลยหาเรื่องหนีเที่ยวกัน ตอนแรกแม่ก็เสนอว่าจะไปทานก๋วยเตี๋ยวฟรีที่บ้านลุงตั้ม โดยจะพาพี่โอเปิ้ลนั่งเรือไป แต่พ่อก็ยังไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของแม่ เอาเป็นไปถ่ายรูปพระเมรุที่สนามหลวงกันดีกว่ามั๊ยพ่อ... ไม่เอาอีกล่ะ...โอ๊ย..เบื่อแล้วไม่คิดมันแล้วล่ะ...งอนนนน

แล้วพ่อก็คิดเอง เออเองว่า เราไปเที่ยวสวนสามพรานกันดีกว่า กะว่าออกจากไปรษณีย์สำเหร่จะไปรับน้องออสตินมาเที่ยวด้วย แต่แม่ว่าน่าจะไม่ดีเพราะวัน สอง วันนี้ น้องออสตินมีน้ำมูกอยู่ ไม่อยากให้ออกมาตากแดด ตากลม นอกบ้าน...ถ้างั้นก็ตากแห้งอยู่กะบ้านไปก่อนแล้วกันนะจ๊ะ...คนนนน สวยยยยย

พ่อขับรถไปถึงที่สวนสามพรานราวๆ เที่ยงกว่าๆ ระหว่างเดินทางแม่ก็พยายามบังคับให้พี่โอเปิ้ลนอนหลับในรถให้ได้ ไม่เช่นนั้นพี่โอเปิ้ลจะออกอาการเด็กแว๊นนน แปร๋น แปร๋น เวลาง่วงนอนทุ๊กที แล้วความพยายามของแม่ก็เป็นผลพี่โอเปิ้ลหลับไปตลอดทางจนถึงที่หมายพี่โอเปิ้ลก็ตื่นขึ้นมาโดยมิได้นัดหมาย...

พ่อขับรถวนก่อน 1 รอบเพื่อสำรวจว่ามีอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง แล้วก็ตัดสินใจจอดรถ เพื่อเดินมาทานอาหารกลางวันกันก่อนเป็นอันดับแรก...แล้วเราก็ไม่ได้คาดฝันมาก่อนว่า เราจะได้เจอน้าจุ๊ น้าพจน์ และคุณตา คุณยาย (พ่อ และแม่ของน้าจุ๊) ที่นั่น เราทักทายบรรดาเพื่อนสนิทมิตรสหายกันพอหอมปากหอมคอ ก็แยกย้ายกันไปย้วยยย เอ๊ยย ไม่ช่ายย แยกกันไปเที่ยวตามที่แต่ละครอบครัวจะปรารถนา แต่เนื่องจากว่ากองทัพของครอบครัวเราต้องเดินด้วยท้อง เราก็เลยสั่งอาหารกลางวันรับประทานกันก่อนที่จะเดินเที่ยวกันเป็นรายการต่อไป
พอทานอาหารเสร็จ เราก็ไปเดินชมตลาดริมน้ำที่เค้าจัดไว้ให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และชาวไทย(ส่วนน้อย) ได้ชมบรรยากาศ และวิถีชีวิตของคนไทยที่อาศัยอยู่ริมน้ำ นอกจากจะมีการขายอาหาร และขนมไทยๆ แล้ว ยังมีหัตถกรรมพื้นบ้านของไทยอีกหลากหลายด้วย ออกจากตลาดริมน้ำ เราก็ตกลงกันว่าจะพาพี่โอเปิ้ลไปขี่ช้าง จับตั๊กแตนกันสักหน่อย... แต่แล้วเราก็ชวด ฉลู ขาล และเถาะ หรือเรียกสั้นๆว่า "แห้วรับประทาน" เนื่องจากช้างที่มีอยู่นั้นจะต้องนำไปแสดงให้ชาวต่างชาติชม (ราคาค่าเข้าชม 480 บาทต่อท่าน) หากต้องการขี่เพื่อถ่ายภาพ (สนนราคาท่านละ 50 บาท) ก็ต้องรอไปอีกประมาณ 45 นาที เราก็เลยตัดสินใจไม่ขี่มันแล้วล่ะช้างน่ะ ไปขี่จักรยานน้ำ หรือ เรือถีบ ภาษาบ้านๆเราก็ได้ (วะ) ราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่ครึ่งชั่งโมง 40 บาท เท่านั้นเอง จิ๊บ จิ๊บบบ


เสร็จจากการถีบ..เรือ ก็ออกรถไปจอดแถวสนามเด็กเล่นซึ่งอยู่ไกลออกไปอีกไม่มากนัก แต่ที่ต้องนั่งรถไปเพราะแม่น่องโป่งไปเรียบร้อยแล้วน่ะซิ เหนื่อยมั่ก มากกก ก็สนุกสนานกันไปสักพัก เมฆฝนก็ครึ้มมม มาแต่ไกล ทำให้เราได้ฤกษ์กลับบ้านกันซะที...แต่กว่าจะถึงบ้านได้ เราก็แวะช้อปปิ้งกันอีก 1 ยกที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า เฮ้อ..วันนี้ทั้งวัน พี่โอเปิ้ลก็เลยได้เพลิดเพลินไปกับการเที่ยว เที่ยว และเที่ยว จนฉ่ำปอดกันไปเลยทีเดียวครับ..เจ้านาย















วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ผลงานชิ้นเอกของศิลปินน้อย และผองเพื่อน

แม่ว่าจะเขียนเรื่อง "ผลงานชิ้นแรกของศิลปินน้อย และผองเพื่อน" มาหลายวันแล้ว แต่ก็ไม่ได้ฤกษ์ซะที...ตอนนี้ได้เวลาฤกษ์งาม ยามดี ซะที ไอ้ที่ว่าไม่ว่างน่ะ ไม่ได้ติดอะไรเป็นพิเศษหรอกนะ แค่ติดหวัดจากพี่โอเปิ้ล แล้วก็พาลมาติดแม่ กระจายเชื้อไปที่น้องออสติน แถมท้ายด้วยการแบ่งปันไวรัสหวัดให้กับพ่อเข็มเป็นรายสุดท้าย แหม!! สมกับที่พ่อ และ แม่สั่งสอนจริงๆ ว่ามีอะไรให้แบ่งปันกัน...แต่ของแบบนี้ไม่ต้องแบ่งปันให้ใครก็ได้นะลูกนะ...แม่กลัววววว


หลายวันก่อน แม่ไปรับพี่โอเปิ้ลที่โรงเรียน "ศูนย์สุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์" พอขึ้นไปถึงที่ชั้น 4 ซึ่งเป็นชั้นที่พี่โอเปิ้ลเรียน แม่ก็ได้มีโอกาสสำรวจสถานที่เล็กน้อย แล้วแม่ก็ได้เห็นผลงานชิ้นเอกของศิลปินน้อย และเหล่าผองเพื่อน ที่คุณครูแปะโชว์ไว้บนบอร์ดให้ผู้ปกครอง และผู้ที่ผ่านไปผ่านมาได้ชื่นชมกัน โอ้...มันช่างเป็นภาพที่สวยงามอะไรเช่นนี้...มันยอดมากกกก...(โปรดทำท่า และนึกถึงอาจารย์เฉลิมชัยไปด้วยนะ..จะได้ๆอารมณ์มากยิ่งขึ้น) นอกจากภาพที่นำกระดาษสีชิ้นเล็กๆ หลายๆ สีมาปะติดรูปภาพที่คุณครูแจกให้แล้ว ก็ยังมีงานลากเส้นปะ เชื่อมโยงรูปภาพที่เป็นพวกเดียวกันอีกด้วย แม่ก็ไม่เคยเห็นเหมือนกันว่า เวลาพี่โอเปิ้ลไปโรงเรียนนั้น พี่โอเปิ้ลทำอะไรบ้างในแต่ละวัน นอกจากการร้อง เล่น เต้นรำ เล่นเกมส์ฝึกทักษะ แต่งาน หรือการบ้านนั้น แม่ไม่เคยเห็นว่าพี่โอเปิ้ลมีพัฒนาการอย่างไร เพิ่งจะได้มาเห็นก็ครั้งนี้นี่แหละ ก็เลยมีความคิดว่า อย่ากระนั้นเลย เราควรจะได้เก็บภาพแห่งความทรงจำอันนี้เอาไว้ให้พี่โอเปิ้ลได้เห็น เวลาที่พี่โอเปิ้ลเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ว่าฝีมือข้าสมัยยังเยาว์วัยนั้นเป็นเช่นไร ...












หลังจากที่ได้ถ่ายภาพที่ระลึกเก็บไว้เรียบร้อยแล้ว แม่ก็แอบมาถ่ายรูปพี่โอเปิ้ล และเหล่าผองเพื่อน (ที่ผู้ปกครองยังไม่มารับกลับ) แหม!! ตอนแรกก็เหมือนจะไม่อยากถ่าย แต่พอถ่ายไป ถ่ายมา แอ๊คท่ากันใหญ่เชียว...คุณครูลัดดา บอกแม่ว่า "5 คนเนี๊ยะตัวแสบประจำห้องเลยค่ะคุณแม่ ถ่ายเก็บเอาไว้ดูได้เลยค่ะ หายากกกก" 5 เซียนแสบที่กล่าวมานั้นมีรายนามดังต่อไปนี้
น้องบุ๋น (เสื้อขาวขอบน้ำเงิน)
น้องนนท์ (เสื้อกั๊กสีเหลือง)
น้องปังปอนด์ (เสื้อฟ้าปกแดง)
น้องเพลง (ลูกครึ่งเสื้อฟ้าที่ดูติ๋ม แต่ไม่ติ๋มดังที่เห็น)
และท้ายสุดที่ไม่น่าจะขาดได้ก็คือ น้องโอเปิ้ล (น้องใส่เสื้อและกางเกงลาย ไฉไลจริงนะโฉมยงค์) นั่นเอง










วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Disney Show - Three Fairy Tales

วันนี้พี่โอเปิ้ลตื่นเต้นมาก ที่จะได้ไปดูการแสดง Disney Show - Three Fairy Tales ที่สยามพารากอน ไม่ว่าจะให้โอเปิ้ลทำอะไร ก็ดูเหมือนจะง่ายดายไปซะทุกอย่าง เพียงพูดแค่ว่า "ถ้าโอเปิ้ลไม่ทำ..... แม่จะไม่พาไปดูนะ" แล้วโอเปิ้ลก็จะดื้อเล็กน้อยพอเป็นพิธี แล้วก็ยอมจำนนแต่โดยดี ก่อนไปพี่โอเปิ้ลไปลาน้องออสติน พร้อมกับบอกว่า "เดี๋ยวพี่โอเปิ้ลจะไปดูดิสนีย์นะคะน้องออสติน แล้วพี่โอเปิ้ลจะซื้อของมาฝากนะคะ" ว่าคาถาจบก็จูจุ๊บน้องซะ 1 ฟอดใหญ่ อืมมมมม....เห็นแล้วชื่นใจ ไม่รู้ว่าโตขึ้นมาจะรบรากันขนาดไหน...

แม่โทรนัดกับป้าเปิ้ล และป้าตุ๊กเสร็จเรียบร้อย ก็จัดเก็บของเตรียมตัวออกจากบ้าน เพื่อไปเจอป้าๆ น้องฟ้า น้องฝน และ พี่ข้าวตู ณ สถานที่นัดหมายซึ่งก็คือ "สยามพารากอน" นัดกันประมาณบ่ายสองสี่สิบห้า แต่กว่าจะเจอกันได้ ก็ปาไปตั้งบ่ายสามกว่าๆแล้ว พอเราเข้าไปดูปรากฏว่าการแสดงเริ่มไปแล้วเกือบจะจบเรื่อง "สโนไวท์"ซึ่งก็เป็นหนึ่งใน 3 เรื่องที่นำมาแสดง ซึ่งก็คือ ซินเดอเรลล่า และ โฉมงานกับเจ้าชายอสูร แต่ก็อย่างที่รู้ๆ คนไทยเรามักจะสายเสมอ และการแสดงในครั้งนี้ก็เป็นการแสดงของฝรั่ง ซึ่งเค้าก็แสดงตรงเวลาเช่นกัน

ระหว่างที่ดูการแสดงนั้น พี่โอเปิ้ลสนุกสนานไปกับการแสดงเป็นอย่างมากกก ... ออกจะโอเวอร์ซะด้วยซ้ำไป ก็พี่เค้าเล่นหัวเราะดังลั่นจนคนข้างหน้าหันมาดู คนข้างหลังก็หัวเราะตามกันใหญ่ ไม่ใช่หัวเราะการแสดงหรอกนะ แต่หัวเราะที่พี่โอเปิ้ลหัวเราะดังมั่ก..มากก ต่างหากล่ะ... การแสดงจบไป 1 เรื่อง กับอีก ครี่งเรื่อง ก็มีการหยุดพักให้ผู้เข้าชมการแสดงได้ไปเข้าห้องน้ำ และ หาซื้อของที่เค้านำมาขาย อันได้แก่ น้ำแข็งใสใส่ถ้วย micky mouse ราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่ ถ้วยละ 300 บาทเท่านั้นเอง หรือไม่อยากทานน้ำแข็งใส ก็สามารถซื้อ สายไหมใส่ถุง disney พร้อมด้วยมงกุฏ micky mouse สนนราคาก็ไม่แพงอีกเช่นกันราคาถุงละ 250 บาท ถูกจริง จริง.... เอิ๊กกกก ป้าๆ แม่ และพ่อ ต่างก็ตกตะลึงกับราคาของของที่เค้านำมาขาย แถมมีคนซื้อด้วยนะ จนพ่อแอบกระซิบกับแม่ว่า จริงๆแล้วราคาน้ำแข็งน่ะ 5 บาท ส่วนถ้วยน่าจะราคา 15 บาท รวมกันก็ 20 บาท ส่วนที่เหลือ 280 บาทน่ะเป็นค่า "โง่" ฮา ฮา ฮา ฮ่า






วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ยอดมนุษย์ฟันเหล็ก & super wonder woman (ตอนจบ)

แล้ววันพักผ่อนที่แสนรื่นรมย์ก็ได้สิ้นสุดลง....
วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เด็กจะได้เล่นสนุกกัน ก็เลยตื่นกันแต่เช้าลงไปเล่นน้ำทะเล พอสายกะว่าจะออกไปเที่ยวที่บ้านปราณบุรี เพื่อไปทักทายคุณย่า ย่า และย่า (ทั้งหมด 3 ย่าอันได้แก่ คุณย่าหญิง คุณย่างาม และคุณย่าแต๊ว) ก็เป็นอันต้องล้มเลิกอีก เฮ้อออ ช่างเป็นทริปที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง... เหตุที่ต้องล้มก็เนื่องมาจาก ฟ้า และฝน เป็นใจ ตกต้องตามฤดูกาล (หรือเปล่า) ทั้งวี่ทั้งวัน จนไม่ต้องเป็นอันทำอะไร เที่ยงวันนี้ก็เลยได้กิน โรตีแกงไก่ ซึ่งฝีมือโรตีนั้นคุณย่าแต๋วทำมาให้พวกเราไว้กินกัน ส่วนแกงไก่ เราไปซื้อจาก "ร้านครัวกรรณิการ์" คร๊าบพี่น้อง จริงๆแล้วกะว่าจะกินตั้งแต่วันแรก แต่พอแวะไปซื้อทีไร เป็นต้องได้เห็นป้ายหน้าร้าน พร้อมกับประโยคซ้ำๆ ที่เขียนมาแล้ว 2 วันว่า "ของหมดทุกอย่าง..ค้า" และวันนี้ฟ้า-ฝน ก็ปราณีเรา (เล็กน้อย) หรือเพราะเราไหวตัวทันก็ไม่ทราบได้ พ่อเข็มเลยรีบโทรไปสั่งแกงไก่ไว้ให้แม่ตั้งแต่ไก่โห่ (เป็นรอบที่ 500) พอไปรับของ โอ้โห...พี่น้องคร๊าบบบ ร้านเค้าพร้อมเพรียงกันดีจริงๆ พันธมิตรตั้งแต่พ่อครัว ยัน เด็กเสริฟ แถมพกด้วยการขายมือตบพันธมิตร และแจกใบปลิวเรื่อง...ที่เผยแพร่กันทางอินเทอร์เน็ต ด้วยนะคร๊าบพี่น้อง... ขนาดว่าโทรสั่งแล้วยังต้องรอ เพราะเค้าไม่ทำไว้ให้เราเลย เค้าบอกว่า ต้องทำให้ร้อนๆ มาแล้วก็เพิ่งจะเอาลงหม้อให้... แต่ไม่เป็นไร เพราะเราเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเหมือนๆกัน คร๊าบพี่น้องงงงงง
วันนี้ก็ได้แต่ กิน กะ นอน แล้วก็นอน ตื่นขึ้นมากิน อ้อ ตกกลางคืนก็เปิดฟลอร์ให้เด็กๆได้ ร้อง เล่น เต้นกระจายกันไปหลายยก ก่อนตบท้ายด้วยไอติมแสนอร่อย...บัสกินร๊อบบิ้น ซึ่งบรรดาพ่อ แม่ และป้าๆ เรียกกันว่าเป็น "ช่วงเวลาแห่งความสามัคคีปรองดองกันฉันน้องพี่" เนื่องจากว่า เวลาเล่นเด็กๆมักจะทะเลาะ และไล่ตีกันเป็นประจำ และสม่ำเสมอ แต่เมื่อถึงเวลากินไอติมทีไร เกิดความสมานฉันท์ได้ทุกทีเล่า...
ก่อนจะแยกกันย้วยกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น .....
เหมือนเดิมอีกแล้วครับท่านผู้อ่าน เด็กๆๆ ก็ยังคงเล่นน้ำกันแต่เช้า ขึ้นจากน้ำ ก็อาบน้ำแต่งตัว กินข้าวเช้า แล้วก็ตีกันเหมือนเคยๆ ส่วนผู้ใหญ่อย่างพ่อ แม่ และป้า ก็ช่วยกันจัดเก็บของกันตามระเบียบ พอเสร็จสิ้นพิธีการ ก็เตรียมพร้อมออกเดินทางกลับ
เราขับรถตามกันไปเพื่อที่จะได้แวะกินอาหารอร่อยๆ แถวๆ เพชรบุรี แล้ววันนี้เป้าหมายของเราก็เป็นผลสำเร็จแม้ว่าจะทุลักทุเลเล็กน้อย เนื่องจากพ่อเข็มสับสนกับเส้นทางเข้าเมืองเพชรบุรี เพื่อหาร้านก๋วยเตี๋ยวที่พ่อเข็มว่าเด็ดดวงจริงๆ คับพี่น้อง แล้วไอ้ที่เด็ดน่ะมันดันขายแต่ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ (ซึ่งพ่อก็ลืมไปเสียสนิท) และบรรดาป้าๆ เค้าก็ไม่ทานเนื้อกัน โชคยังดีที่ร้านใกล้เรือนเคียงเค้าให้ขายก๋วยเตี๋ยวหมู และให้สั่งเนื้อมาทานได้ ทุกคนก็เลยได้สบายท้องกันไป เมื่อกองทัพของเราพุงกางกันไปเรียบร้อยแล้ว กิจกรรมที่จะช่วยลดสัดส่วนที่ดีที่สุดก็คือการไปขึ้นเขาวัง พอถึงที่ปรากฏว่าไม่มีใครขึ้นไปกับเราเลยสักคน มีเพียงแค่ พ่อ แม่ พี่โอเปิ้ล และพี่ข้าวตู ที่ยังร่วมกันสานฝันต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ...เราทั้ง 4 คน ก็เลยนั่งรถกระเช้าไฟฟ้าขึ้นเขาวัง เพื่อกินลม ชมลิง และสถานที่สำคัญอีกสักพัก ก็นั่งรถกระเช้าไฟฟ้ากลับลงมา และทั้งหมดก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ ด้วยความปลอดภัย



ยอดมนุษย์ฟันเหล็ก & super wonder woman (ตอน 2)

วันแรกที่แสนทรหดได้ผ่านพ้นไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ทุกคนเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี แม่และป้าตุ๊กขับรถออกจากบ้าน กะเวลาว่าเด็กๆ น่าจะยังเพลินอยู่กับการเล่นทราย พอขึ้นจากน้ำอาบน้ำ อาบท่า ก็คงหิวพอดี ก็เลยแอบแว๊บบบบ ออกมาซื้ออาหารให้ลูกๆ และหลานๆกินกันก่อน เป้าหมายที่เราเล็งๆกันไว้คือ "ข้าวต้มเจ๊แมว" ร้านข้าวต้มที่เก่าแก่ของหัวหิน แม่ว่าอร่อยพอๆกับข้าวต้มอ่างศิลาที่เลื่องชื่อเลยที่เดียว แต่พอขับออกมาได้นิดเดียว โครงการพันล้านของเราเป็นอันต้องพับไป เนื่องจากจราจรติดขัด เหมือนกับเกิดจราจลขึ้นที่ไหนสักแห่ง...หรือว่าจะมีดาวกระจาย กลุ่มเล็ก กลุ่มน้อยมารวมตัวกันที่หัวหินแห่งนี้ ....แป่วววว
แล้วเราก็ต้องคิดแผนการใหม่ ซื้ออาหารง่ายๆ แถวๆ หัวหินแกรนด์ ตลาดนัดใกล้ๆบ้าน อาหารสะอาด และหลากหลาย แม่กะป้าตุ๊ก เพลิดเพลินกับการจับจ่ายอาหารไปให้กับทุกคนกิน แต่เพลินมากไปหน่อย พอมาดูนาฬิกาอีกที่ก็ปาเข้าไปเกือบ 2 ทุ่ม ตาย...แล้ว ป่านนี้ทุกคนคงรอกันไส้แห้งแล้ว.... จึงรีบขนเสบียงขึ้นรถ และบึ่งกลับบ้านทันที



วันที่ 2 ของพักผ่อน...

เด็กๆ ก็ยังคงเพลิดเพลินกับการลงเล่นน้ำตั้งแต่เช้า พอบ่ายเราก็ออกตระเวณหาอาหารกินกัน เป้าหมายสำหรับวันนี้คือ "ก๋วยเตี๋ยวนายหอย" ที่ลือชื่ออีกเช่นกัน ปรากฏว่าพอไปถึง คนมากินกันเยอะมากจนไม่มีที่นั่งทาน โครงการเราก็เลยต้องพับไปอีก 1 ยก เลยต้องเปลี่ยนโปรแกรมไปกินข้าวซอยร้านเล็ก แต่อร่อยไม่แพ้ทางเหนือเลยกะเจ้า จำชื่อร้านไม่ได้แต่อยู่ตรงข้ามกับวังไกลกังวล ร้านเล็กๆ แต่คนสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมากินไม่ได้ขาด น้ำเค้าเข้มข้นได้ใจจริงๆ มีทั้งข้าวซอย น้ำเงี้ยว ก๋วยเตี๋ยวหมู/เนื้อตุ๋น แล้วก็อาหารทางเหนือที่กินกับข้าวได้ กินกันเสร็จไปออกตระเวณพาเด็กๆ ไปดูรถไฟที่สถานีรถไฟหัวหินต่อ ราวกับว่าอยู่กรุงเทพฯไม่เคยได้เห็นรถไฟซะงั้น....ถ่ายรูปกันไปก็เยอะ คนรอขึ้นรถไฟก็แยะ งานนี้เด็กที่ดูจะทรหด และอดทนที่สุด เห็นจะเป็น "น้องออสติน" เพราะแม่เอาหนูลงเป้ แบกไปไหนต่อไหนทั้งวัน ทั้งแดดร้อน แดดร่ม ฝนตก หนูก็ไม่ร้องซักแอะเดียว จนบรรดาป้าๆ ถามแม่ว่า "เฮ้ย..เอ็งลืมเอาลูกไว้ที่บ้านหรือเปล่าวะ" ซะงั้น แหม! เกิดเป็นลูกแม่ต้องอดทนนี่หน่า งานนี้ก็เลยแอบตั้งสมญานามให้น้องออสตินว่า "สาวน้อยจอมพลัง (บักอึด)" หรือ wonder little women นั่นเอง




วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ยอดมนุษย์ฟันเหล็ก & super wonder woman

ช่วงวันหยุดที่ผ่านมาพ่อกับแม่ พาพี่โอเปิ้ลกะน้องออสติน ไปเที่ยวหัวหินกะพี่ข้างตู น้องฟ้า น้องฝน และ บรรดาป้าๆ มันช่างเป็นวันพักผ่อนที่สนุกสนาน และ ทรมาณที่สุดที่แม่เคยผ่านมา เฮ้ออออออออ... เหนื่อย

วันแรกของการเดินทาง

โอเปิ้ลมีนัดกับคุณหมอฟันที่โรงพยาบาลก่อน คุณหมอจะตรวจฟันและทำการอุดฟันให้กับโอเปิ้ล คุณหมอตรวจพบว่า ฟันหน้าของโอเปิ้ลด้านในผุมาก หากทำการอุดธรรมดา ก็เกรงว่าจะต้องมาอุดใหม่อีกครั้ง สาเหตุที่ทำให้ฟันของโอเปิ้ลผุ ก็เนื่องมาจากการชอบอมข้าวแล้วเอามาจุกไว้ที่ด้านหน้านั่นเอง แถมพกด้วยการชอบทานชอคโกแล็ตเป็นชีวิตจิตใจ ก็เลยซ้ำเติมให้เจ้าแมงกินฟันเข้าไปสร้างบ้านอยู่ในฟันของโอเปิ้ลได้สำเร็จ...ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขณะที่คุณหมอทำฟันให้โอเปิ้ลอยู่นั้น พ่อกับแม่รอโอเปิ้ลอยู่หน้าห้องทำฟัน ได้ยินเสียงโอเปิ้ลร้องไห้โฮ..ใหญ่ มันคงทรมาณมากๆ เพราะนอกจากจะ
โดนฉีดยาชาที่เหงือก แล้วยังต้องโดนกรอฟัน และอื่นๆ อีกมากมาย ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าหวาดเสียว และทรมาณมาก แล้วในที่สุดเวลาแห่งความทรมาณก็ได้สิ้นสุดลง เมื่อโอเปิ้ลเดินออกมาจากห้องคุณหมอ ด้วยน้ำตาที่นองหน้า และเสียงสะอีก สะอื้น ในขณะที่ในมือก็ถือลูกโป่งที่คุณหมอให้มาด้วย.. แม่แอบได้ยินคุณหมอถามโอเปิ้ลว่าจะเอาลูกโป่งแบบไหน แล้วก็ได้ยินโอเปิ้ลตอบคุณหมอว่า "ไม่เอาลูกโป่งน่ะ จะเอาที่เป็นดาบคร๊าบบบ ฮือ ฮือ ฮือ" (แบบว่าร้องไป อยากได้ลูกโป่งไปง่ะ)

แว๊บแรกที่พ่อเห็นโอเปิ้ล...พ่อน่ารักม๊ากกกก... แอบหัวเราะโอเปิ้ลยกใหญ่ (โดยไม่ให้ลูกรู้ว่าหัวเราะในความตลกของฟันลูกอยู่) ส่วนแม่..ก็ต้องอดกลั้น (แทบแย่) แล้วก็ต้องให้กำลังใจลูกว่า "โอ้โห..นอกจากจะเก่งแล้ว โอเปิ้ลทำฟันเสร็จแล้ว หล่อมากกกกก เลยครับลูก" และแล้วก็ได้เวลาที่เราจะต้องออกเดินทางไปหัวหินกันซะที...หลังจากที่ใช้เวลานานมาก..มาก กับการทำฟันโอเปิ้ล เก็บของสัมภารก และจัดขึ้นรถ และสุดท้ายจัดการเรื่องอาหารของลูกๆ...
เวลา 11:00 น. รถสตาร์ท...ล้อรถเริ่มหมุน...เราขับออกจากกรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางพุทธมณฑลสาย 4 มุ่งหน้าออกไปทางมหาชัยเมืองใหม่ ข้ามแม่น้ำท่าจีน แวะปั๊มน้ำมันที่เป็นจุดนัดหมายกับ ป้าตุ๊ก และ ป้าเปิ้ล เมื่อทุกคนได้เจอหน้า และทักทายกันเรียบร้อย ก็เริ่มออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังหัวหิน จุดหมายปลายทางคือ "
บ้านราชดำเนิน" รีสอร์ทสุดหรูระดับแนวหน้าของ... (ไม่กล้าพูด..อายปากจิง จิง)

เราทุกคนมาถึง "
บ้านราชดำเนิน" กันในเวลาเกือบๆ จะ 4 โมงเย็นแล้ว ได้พักให้หายเหนื่อยซักพักเด็กก็ลั้น.. ลา พากันวิ่งเล่นกันสนุกสนาน เผลอแผล็บเดียว หายกันไปเล่นทะเลหมดแล้วเหลือแต่แม่กับพ่อ ที่ยังนั่งซ่อมกระดิ่งจักรยานให้กะโอเปิ้ล...(เกิดอาการ กระดิ่ง
แยกชิ้นส่วนออกจากตัวรถ ซะงั้น)


วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2551

มือใหม่หัดเขียน

วันนี้ได้คุยกะน้องที่เคยทำงานด้วยกัน เค้าแนะนำให้แม่ลองเขียนบล็อคดู บอกว่าไม่ยาก แม่ก็เลยได้แรงบันดาลใจ..อย่างแรง เห็นเค้าว่ากันว่ามันฮิตกันนัก ฮิตกันหนา แล้วในที่สุดความฝันของแม่ก็เป็นจริง ต่อจากนี้ไปแม่จะได้บันทึกเรื่องราวของพี่โอเปิ้ล และ น้องออสติน เก็บเอาไว้ ถ้ามีโอกาสลูกๆคงได้อ่านกันนะ

เริ่มจากเรื่องราวของพี่โอเปิ้ล ซึ่งผ่านมาแล้ว 3 ปี... นานมากๆๆ แล้ว

โอเปิ้ลเกิดวันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม 2548 ตอนนี้พี่โอเปิ้ลอายุได้ 3 ขวบแล้วคร๊าบ แล้วก็เข้าโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว อยู่ไม่ใกล้ ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ เป็น Preschool ที่มีชื่อว่า "ศูนย์สุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์" อยู่ตรงข้ามกับโรงพยาบาลรามานั่นเอง
นับจากวันแรกที่เริ่มไปเรียนประมาณเดือนมิถุนายน ซึ่งก็ผ่านมาแล้วเกือบๆ 4 เดือน ไม่มีวันไหนที่โอเปิ้ลจะไม่ร้องไห้ และแล้ววันที่แม่ใฝ่ฝันก็มาถึง เมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา โอเปิ้ลลันล้ามากกก เวลาไปโรงเรียน และไม่ร้องไห้อีกต่อไป (กว่าจะหยุดร้องได้ เล่นเอาแม่ กะ คุณครูเหนื่อยไปตามๆกัน) โอเปิ้ลบอกว่า "แม่.. โอเปิ้ลโตแล้ว โอเปิ้ลไม่ร้องไห้แล้ว แม่พาโอเปิ้ลขึ้นรถไฟได้แล้วน๊า" (ลากเสียงยาวๆด้วยนะ)

โอ้แม่เจ้า..ลูกเรามีข้อแลกเปลี่ยนซะแล้ว แต่ก็เอาเถอะ..สัญญาต้องเป็นสัญญา แล้วแม่จะพาไปน๊า


แล้วก็มาถึงทีของ น้องออสติน กันบ้าง

น้องออสตินเกิดวันพุธที่ 4 มิถุนายน 2551 ตอนนี้น้องอายุได้ 4 เดือนแล้ว ออสตินคว่ำ และคอตั้งชันได้แล้ว ออสตินจะชอบมากเวลาที่ใครๆ เรียกเธอว่า "คนสวย" ได้ยินทีไรก็จะยิ้มมม ทุ๊กที ตอนนี้ออสตินชอบชมนกชมไม้มาก ไม่ยอมจะนอน อยากแต่จะนั่งท่าเดียว บางทีก็ใช้มือเหนี่ยวมือแม่ไว้ เพื่อที่จะยกตัวเองให้ลุกขึ้นยืน.. ท่าทางออสตินจะออกอาการอยากเดิน (ช้อปปิ้ง) ตั้งแต่เด็ก