วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ครบรอบ 1 ขวบของน้องออสติน
แฮ๊ปปี้ เบริด์เดย์ ทู้ ยู....
แฮ๊ปปี้ เบริด์เดย์ ....แฮ๊ปปี้ เบริด์เดย์...แฮ๊ปปี้ เบริด์เดย์ ทู ยู.... ปู๊ดดดดดด (เสียงเป่าเทียนของพี่โอเปิ้ล)
วันที่ 4 มิถุนายน 2552 วันเกิดครบรอบ 1 ขวด..เอ้ยย 1 ขวบ ของน้องออสติน พอดิบพอดี ก่อนอื่นแม่ต้องขอโทษอย่างแรง ที่แม่หลงและลืมคิดว่าวันที่ 4 มิถุนา เป็นวันศุกร์ ซึ่งจริงๆแล้วมันเป็นวันพฤหัสฯ ดีๆนี่เอง...ทำให้แม่ไม่ได้ใส่บาตรพระในวันเกิดของลูก แต่ถึงอย่างไรความผิดพลาดคงไม่มีซ้ำสอง ในวันเกิดของลูกแม่ กับพี่โอเปิ้ลก็เลยชวนกันไปช้อปปิ้งที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า หลังจากที่แม่ไปรับพี่โอเปิ้ลหลังเวลาเลิกเรียน... แห่ะ แห่ะ...จริงๆแล้วเราสองคนชวนกันไปซื้อของขวัญให้น้องออสตินต่างหากล่ะ แถมด้วยการซื้อ "เค้กไอศครีม" ที่พี่โอเปิ้ลชื่นชอบ และอาหารที่จะต้องใส่บาตรในวันรุ่งขึ้น...พี่โอเปิ้ลเพียรพยายามหาของขวัญให้น้องออสตินอย่างขะมักเขม้น...สรุปว่าแม่กับพี่โอเปิ้ลเลือกที่จะซื้อ "หนอนน้อย" ไว้ให้น้องออสตินเดินลาก แถมพกด้วยของขวัญของพี่โอเปิ้ลอีก 1 อย่างนั่นก็คือ อุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ ที่พี่โอเปิ้ลอยากได้มาหลายวันแล้ววว....
เมื่อซื้อของทุกอย่างได้ครบกันแล้ว เราก็พากันกลับบ้าน พอมาถึงพี่โอเปิ้ลก็รีบกุลีกุจอที่จะแกะของขวัญของตัวเอง และ ของน้องทันที ประหนึ่งว่าเป็นวันเกิดของตัวเอง... เมื่อแกะกล่องของขวัญเรียบร้อยพี๋โอเปิ้ลก็รีบบังคับน้องให้ถือเชือกพร้อมกับเจ้ากี้เจ้าการให้น้องเดินทันที...น่าปลื้มใจจิงๆๆ ไม่รู้ว่า พี่ หรือ น้องกันแน่ที่อยากเล่นของขวัญชิ้นนี้..ฮ่า ฮ่า ฮ่า น่าเสียดายที่วันเกิดน้องออสตินทั้งที กลับไม่ได้เป่าเค็ก เนื่องจากว่า พ่อติดภาระกิจสำคัญกลับบ้านดึก และ น้องออสตินก็นอนหลับแต่หัวค่ำไปเรียบร้อยแล้ว..เค็กที่แม่กะพี่โอเปิ้ลซื้อมาเลยเป็นหม้ายไม่ 1 วัน แล้ว mission ของเราก็ possible ในวันรุ่งขึ้น ทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตา จะขาดก็แต่ พ่อ และ ลุงป๊อป ส่วนสมาชิกที่เหลือไม่ว่าจะเป็น พี่อัพ พี่ปอ พี่โอเปิ้ล ป้าแอ้ และแม่ ต่างก็อยู่กันพร้อมหน้า..ล้อมหน้า...ล้อมหลัง...กินเค็กก้อนโตกันอย่างเอร็ดอร่อยไปตามๆกัน...ปีนี้พี่โอเปิ้ลเป็นตัวแทนของน้องออสตินในการเป่าเค็ก เพราะออสตินยังเล็กเกินกว่าที่จะเป่าเทียนให้ดับได้ ถึงกระนั้นแม่ก็ยังต้องกำชับพี่โอเปิ้ลว่าให้เป่าเอาแต่ลมออกมานะ... อย่าให้อย่างอื่นมันกระเด็นออกมาด้วย..มิฉะนั้นเค็กก้อนนี้คงต้องยกให้พี่โอเปิ้ลกินคนเดียวเป็นแน่แท้...
เอวัง...ก็เป็นประการ..ละ..ฉะ..นี้....จบบบ
โปรดติดตามตอนต่อไป...ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่จะได้มีโอกาสเขียนเรื่องต่อไปอีกนะ...ท่านผู้ชม....
เปิดเทอมใหม่...ของวัยโจ๋ประจำบ้าน (พี่โอเปิ้ลงัยยย)
เริ่มกันด้วยเรื่องของพี่โอเปิ้ล....
เปิดเทอมใหม่นี้...เป็นเทอมแรกของพี่โอเปิ้ลที่โรงเรียนจิตรลดา...เริ่มวันใหม่กันในวันที่ 21 - 22 พฤษภาคม 2552 สำหรับสองวันแรกนี้โรงเรียนอนุญาตให้เด็กๆมาเรียนเพียงครึ่งวัน และในวันที่ 25 พฤษภาคม 2552 เด็กๆทุกคนจะต้องเริ่มต้นเรียนกันเต็มวันเป็นวันแรก.... ความวุ่นวายได้เกิดขึ้นแล้วสำหรับชีวิตคุณครูทั้งหลายในโรงเรียน เนื่องจากเด็กๆทุกคน จะต้องออกจากอ้อมอก (ทั้งใหญ่ และเล็ก)ของบรรดาคุณแม่ที่มีทั้งไฮโซ และ โลโซ (อย่างแม่งัย...) ไปอยู่ในอ้อมอกของคุณครู ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นงานที่หนักหนาเอาการ (เท่าที่แม่เห็น และคาดคะเนเอานะ) พี่โอเปิ้ลได้อยู่อนุบาล 1/1 เลขที่ 4 มีรูปภาพ "แอ๊ปเปิ้ลสีเขียว" เป็นสัญลักษณ์ให้จดจำกันได้ง่ายๆ
วันนี้พี่โอเปิ้ลทำให้แม่ประหลาดใจเป็นยิ่งยวดเพราะ...พี่โอเปิ้ลไม่ร้องไห้เล้ยยยย !!!! ผิดคาดจริงๆ ขนาดว่าได้ยินเพื่อนๆร่วมชั้นร้องไห้กันกระจองอแง..พี่โอเปิ้ลก็ยังอยู่ในอาการลัล..ลา ได้อย่างหน้าตาเฉย...ก็เลยทำให้แม่เบาใจไปได้เยอะเลยทีเดียว เพื่อนคนแรกที่โอเปิ้ลรู้จักก็คือ "น้องอีฟ" ซึ่งเป็นลูกสาวที่แสนจะน่ารักของป้าอร (อตินุช)นั่นเอง... น่าเสียดายที่แม่ไม่ได้ถ่ายรูป เพราะเกรงว่าถ้าหากโอ้เอ้อยู่นาน อาการลั้นลา ของพี่โอเปิ้ลจะค่อยๆหด..หาย กลายเป็นอาการเป่าปี่ อี้อี...ซะก่อน
สัปดาห์ต่อมา..เอาละซิ.. พี่โอเปิ้ลจะต้องเรียนเต็มวันแล้วด้วย แม่ก็ลุ้นระทึกกันเลยทีเดียวล่ะ ว่าพี่โอเปิ้ลจะยอมอยู่หรือเปล่า...แล้วก็โล่งอกอันหนักหน่วงของแม่จริงๆ พี่โอเปิ้ลไม่ร้องไห้เลยสักวัน พอไปส่งคุณครูตา กะพี่ใหญ่ พี่โอเปิ้ลก็ยอมอยู่ด้วยหน้าตาเฉย.. แถมตอนเย็นคุณครูตายังกระซิบบอกแม่ว่า โอเปิ้ลนัดเจอกับคุณครูที่ไม้ลื่นตอนเย็นทุกวันด้วยค่ะ เนื่องจากคุณครูตาไม่ได้สอนอนุบาล 1 แต่สอนอยู่ที่อนุบาล 2 คุณครูเพียงแค่มาช่วยดูแลเด็กในสองวันแรกเท่านั้นเอง โอเปิ้ลนัดกะคุณครูว่า "เอางี้ซิ ครูตา ถ้าครูตาไม่ได้สอนโอเปิ้ล เราก็มาเจอกันตรงนี้ทุกวันตอนเย็นงัย..ตกลงมั๊ย" ฮ่า ฮ่า ฮ่า ... คุณครูขำมากๆ ที่พี่โอเปิ้ลนัดกับคุณครูราวกับผู้ใหญ่เค้านัดออกเดทกันแน่ะ... วันนี้แม่ได้รับคำชมจากคุณครูรัตน์ว่า "โอเปิ้ลรู้เรื่องทุกอย่างเลยค่ะ แล้วก็พูดเก่งมากกกกกจจริงๆ เลยค่ะ" แม่ก็มาเล่าให้พ่อฟัง เราสองคนก็แอบสรุปกันว่า สงสัยว่าคุณครูคงไม่กล้าพูดว่า "โอเปิ้ลพูดมากจริงๆเลยค่ะ" มากกว่านะ...
สัปดาห์แรกผ่านไปด้วยความโล่ง... และสบายใจ แต่สัปดาห์ต่อมา...เฮ้อออออ พี่โอเปิ้ลกลับร้องไห้ตั้งแต่วันแรกของการเริ่มต้นสัปดาห์ที่สองนี่ซิ...ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่คุณครูบอกว่าร้องไม่นานก็หยุด..ทั้งๆที่ตอนอยู่ในรถ พี่โอเปิ้ลก็ยังลัล ลัล ลา เด็กน้อยสารภี...ลัล ลัล ลา ไม่ยอมฟังครู... กันอยู่เลย แม่คิดทบทวนอยู่หลายตลบ ก็สรุปเอาเองว่า สงสัยว่าพี่โอเปิ้ลคงจะกำลัง งง งง อยู่แน่ๆ เพราะแม่ไปส่งทีไรก็รีบกลับออกมา ไม่ให้พี่โอเปิ้ลทันได้ตั้งตัวทุกครั้ง พอสัปดาห์ที่สอง พี่โอเปิ้ลคงได้เวลาตั้งตัว อย่างที่พี่มาช่าว่าเอาไว้ ทำให้เกิดอาการปี่แตกขึ้นมาทันที...แต่ที่แม่ยังดีใจก็คือ พี่โอเปิ้ลไม่ได้ร้องไห้ทุกวัน จะร้องเพียงบางวันเท่านั้นเอง...ก็ถือว่ายังดีกว่าเด็กคนอื่นๆนะเนี่ยะ..
วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2552
วันแห่งความหฤหรรษของพ่อ แม่ และ พี่โอเปิ้ล
แม่ต้องของหายใจแรงๆสักครั้ง....เฮ้ออออ และ เฮือกกกกกก เพิ่งจะได้ว่างเว้นมีเวลาว่าง (ซึ่งไม่มากเท่าไหร่นัก) มานั่งเขียนเรื่องราวหนุกหนาน หนุกหนานของพี่โอ และน้องออส ให้ชาวบ้านชาวช่องได้อ่านเพื่อความเพลิดเพลินใจกันอีกหนึ่งเรื่อง
เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า... ห่างหายจากการเดินทางไกลกันไปนานหลายอาทิตย์ เดือนหน้าฟ้าใหม่นี้พ่อ กะ แม่ก็วางแผนการเดินทางกันอีกแล้ว แต่คราวนี้เรายังตัดสินใจไม่ได้สักทีว่า เราจะไปเที่ยวไหนดี ราชบุรี วังน้ำเขียว กาญจนบุรี หรือว่าจะไปลงหลักปักฐานกันที่เดิมๆ ...ที่ ที่คุณก็รู้ว่ามันคือที่ไหน...
ระหว่างการตัดสินใจ...ความคืบหน้าของพัฒนาการของน้องออสติน หรือตอนนี้ทุกคนจะเปลี่ยนชื่อให้เป็นน้องตั่น..ตั๊น หรือ น้องตั๊น..ตัน..มีรายนามดังต่อไปนี้....
1. พัฒนาการด้านร่างกาย... แข็งแรง สมบรูณ์ สั้น(ขา) ตัน(ทั้งตัว) และ ขยันหัดเดิน...ทุกครั้งที่ปล่อยให้ติ๊นได้ลงไปคลุกอยู่กับพื้น ติ๊นก็จะหาที่เกาะ ยืน และทำท่าจะออกเดิน..ทาง
2. พัฒนาการทางด้านอารมณ์...ยิ้มได้ ยิ้มดี ไม่มีเบื่อ เป็นลักษณะของอารมณ์ที่คงที่คงวาจริงๆ อาจมีหงุดหงิดบ้างคือเวลาที่ง่วงมากๆ ยายออสตินก็จะหลับหู หลับตา บ่น บ่น และบ่น จะหยุดบ่นก็ต่อเมื่อมีขวดนมมาใส่ปาก เสียงนั้นก็จะหายไปทันที เปลี่ยนจากเสียงบ่นเป็นเสียงดูด จ๊วบ จ๊วบบบบบ
3. พัฒนาการทางด้านสมอง... ดูเหมือนว่าน้องออสตินจะเริ่มจดจำ และเลียนแบบพฤติกรรมของพี่โอเปิ้ลบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความซน ความดื้อ (ที่มีท่าทีว่าจะใช้ได้) และอื่นๆอีกมากมาย แต่น้องออสตินจะจดจำพี่โอเปิ้ลได้อย่างแม่นยำ เวลาเอาไปวางบนเตียง น้องออสตินจะคลานไปหาพี่โอเปิ้ลทันที ไม่ได้คลานเปล่า ยายติ่น ติ๊น จะจิก และดึงหัวพี่โอเปิ้ลจนพี่โอเปิ้ลต้องร้องให้แม่ช่วย...แต่ก็มีบางครั้งที่ทนไม่ไหวแล้ว..ขอพี่โอเปิ้ลทีหนึ่งนะน้องนะ...ผัวะ...ดูเหมือนว่าน้องออสตินจะมีแนวโน้มว่าน่าจะทนมือ และทน...ทีน..พอสมควรเลยทีเดียว
ส่วนพี่โอเปิ้ลตอนนี้หยุดอยู่บ้านมาตั้งแต่วันจันทร์แล้ว นี่ก็รวมสิริ...ได้ 3 วันพอดี...สืบเนื่องมาจากอาการตาแดงและตาแฉะ..ซึ่งคุณครูที่โรงเรียนเกรงว่าจะเป็นโรคตาแดง จึงให้พี่โอเปิ้ลหยุดน่าจะลดความเสี่ยงของการติดต่อไปยังเพื่อนคนอื่นๆได้...แต่แม่พาพี่โอเปิ้ลไปหาหมอเรียบร้อยแล้ว คุณหมอบอกว่าน่าจะเกิดจากเชื้อหวัดที่เป็นต่อเนื่องมา บวกกับอาการภูมิแพ้ที่มีติดตัวมาแต่กำเนิด จึงทำให้ออกอาการตาแดงและแฉะได้ 3 วันนี้พี่โอเปิ้ลเลยเหงาอยู่กับบ้าน และอดไปลั้นลาที่โรงเรียนจิตรลดากะพี่ๆเลย...เย้ยยย
อ้อ...เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2552 ที่ผ่านมา พี่โอเปิ้ลได้รับเทียบเชิญจากโรงเรียนจิตรลดาให้ไปสัมภาษณ์ แม่ก็เลยต้องเตรียมความพร้อมด้วยการสืบราชการลับกับป้าอร..อตินุช คุณแม่ของน้องอีฟ ที่ต้องไปสัมภาษณ์เช่นกัน แต่เค้าต้องไปก่อนเราหนึ่งวัน... ได้ความลับของราชการมาเรียบร้อย ก็ไม่หนักใจเท่าไหร่ เพราะทุกสิ่งอย่างที่ป้าอรบอก ไม่ว่าจะเป็นการร้อยลูกปัด ตักลูกปัดจากกล่องหนึ่งไปใส่อีกกล่องหนึ่ง หรือหาแม่ หาลูกให้กับสัตว์ หรือต่อจิกซอว์ พี่โอเปิ้ลก็สามารถอยู่แล้ว เนื่องจากได้รับการฝึกฝนที่ดีจากทางศูนย์สุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์อยู่แล้ว... แต่ที่ทุกคน รวมทั้งแม่เป็นห่วงก็คือ...โอเปิ้ลต้องตื่นเช้ามากๆๆๆๆ กว่าทุกๆวัน เนื่องจากเวลาที่สัมภาษณ์คือ 8.00 น. ซึ่งเป็นคิวแรกสุดเลย.. และเราต้องไปถึงโรงเรียนก่อน 7.00 น. เพื่อเตรียมความคุ้นเคยกับสถานที่ (อันนี้โอเปิ้ลคุ้นเคยอยู่แล้วเพราะได้ไปรับพี่อยู่ทุกวี่ทุกวัน) และความพร้อมก่อนสัมภาษณ์...
ถึงเวลาแห่งความหฤหรรษ์แล้วล่ะซิ....พอไปถึงเราก็ไปติดต่อพร้อมยื่นจดหมายเทียบเชิญ เพื่อรับหมายเลข หรือชาวบ้านทั่วไปเค้าเรียกกันว่า "บัตรคิว" นั่นเอง...และแล้ว หมายเลขที่ออกก็คือ หมายเลข 1 ครับพี่น้อง...นั่งรอกันไป (หมายถึงพ่อเข็มคนเดียวนะ) ส่วนแม่กะพี่โอเปิ้ลก็ลั้นลา ไปเล่นกันที่สนามเด็กเล่นของพี่มัธยม พอได้เวลาพ่อก็โทรศัพท์มาตามตัวให้ขึ้นไปที่ห้องสัมภาษณ์...(อะไรจะเป็นเด็กเอ็กซ์ เซ็กซ์ กู ถีบ เช่นนี้) บรรยากาศภายในห้องสัมภาษณ์ที่แสนจะอบอุ่น คุณครู 3 ท่าน นั่งเตรียมพร้อมสำหรับสัมภาษณ์เด็กคนละโต๊ะ และเรียกเด็กเข้าสัมภาษณ์ 1 ต่อ 1 พี่โอเปิ้ลได้สัมภาษณ์กับคุณครูนุ้ย (ที่น่ารัก จริง จริงนะ) คุณครูให้พี่โอเปิ้ลเล่นร้อยลูกปัดเป็นอย่างแรก พอเล่นได้ที่อาการพี่โอเปิ้ลก็เริ่มออก ความสนุกสนานเริ่มมา ให้ทำอะไร ถามอะไร พี่โอเปิ้ลก็ทำได้หมด แถมยังสอนคุณครูอีกแน่ะ..."กระดานเนี่ยะ ไม่ได้วางแบบนี้นะ ต้องวางแบบนี้" ว่าแล้วก็ทำให้คุณครูดู สิ่งที่ปรากฏบนใบหน้าของคุณครูคือ "เหวอออ พร้อมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ตามมา" เป็นอันว่าห้องนี้พี่โอเปิ้ลผ่านฉลุยยยย.....
ด่านสุดท้ายที่ต้องสัมภาษณ์คือ ห้องท่านผู้หญิงอังกาบ บุญยัตฐิติ อาจารย์ใหญ่ ท่านรองอาจารย์ใหญ่ และคุณครูอาวุโสอีกหนึ่งท่าน รวมแล้ว 3 ท่าน บรรยากาศค่อนข้างมาคุ..มาก และเวลาในการรอคอยที่จะได้เข้าไปในห้องนี้ก็แสนที่จะเนิ่นนาน... จนอารมณ์สนุกของพี่โอเปิ้ลได้หมดลง.. แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะบิ้วขึ้นอีกหรือไม่..และเวลาที่รอคอยก็มาถึงจนได้ เมื่อพี่โอเปิ้ลเข้าไปในห้องท่านผู้ใหญ่ทั้งสาม พี่โอเปิ้ลก็เกิดอาการง่วง หาว ขึ้นมากลางคัน ใครถามอะไรก็ไม่ค่อยอยากจะตอบ เกมส์ที่ให้เล่นก็แสนจะน่าเบื่อ แต่ก็ฝืนทำสุดๆแล้วนะ... คุณครูถามมา กำลังจะตอบ อ้าววว อีกท่านถามสวนมาอีกละ ทีนี้จะตอบคนไหนก็ดีล่ะ คำตอบที่ได้ก็คือ "โอเปิ้ลไม่รู้น่ะ" แล้วเมื่อคุณครูหมดความอดทน (ซึ่งก็ไม่ได้นานเท่าไหร่) เราก็รีบออกมาจากห้องนั้นทันที...เป็นอันว่า วันแห่งความหฤหรรษของพ่อ แม่ และพี่โอเปิ้ลก็สิ้นสุดกันเพียงเท่านี้นะโยมมมม
วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2552
ปีใหม่ 2009 ที่หัวหิน (อีกแล้วครับท่าน)
ดูเหมือนว่าสำหรับแม่นั้นวันหยุดอันแสนที่จะน่ารื่นรมย์นี้ ก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างกันมากมายนัก เมื่อเทียบกับการดูแลลูกๆที่แม่ทำเป็นประจำอยู่แล้วเวลาที่อยู่กรุงเทพฯ แต่การออกนอกสถานที่ หรือที่เราเรียกกันดาด ดาดว่า outing นั้นมันคือการเปลี่ยนสถานที่เลี้ยงลูกของแม่นั่นเอง...เฮ้อออ เหนื่อยอย่างแสนสาหัส แต่ลึกๆแล้ว แม่ก็มีความสุขมากเช่นกันที่ได้เห็นลูกๆ พ้นจากอาการภูมิแพ้ ไอ จาม มีน้ำมูก และเปลี่ยนมามีอาการลั้นลาแทนที่ เพราะได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์ (กว่าในกรุงเทพฯ) ได้อย่างเต็มที่ เอาล่ะ..เรามาสาธยายกันเลยละกันว่า 5 วันอันแสนสุข(ของเขา ไม่ใช่ของเรา) สำหรับวันหยุดส่งท้ายปีเก่าของเรามีอะไรน่าสนใจกันบ้าง
วันแรกที่เราไปถึงหัวหิน เราก็ไปรับคุณย่าหญิง คุณย่างาม และคุณย่าแต๋วที่บ้าน เพื่อที่จะเดินทางย้อนกลับมาที่เพชรบุรีใหม่ เพื่อเข้าพักเปลี่ยนบรรยากาศก่อนที่จะอยู่กับทะเล มาเป็นป่าเขาลำเนาไพรกันที่ "ผาด่าง รีสอร์ท" อำเอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ทางเข้าก็ไม่ยากอะไร ขับรถไปเรื่อยๆ ผาด่างจะอยู่ก่อนถึงทางไปพะเนินทุ่งนั่นล่ะ ถ้ามีเวลาก็แวะไปเยี่ยมชม หรือพักผ่อนกันได้ เพราะนอกจากบรรยากาศจะสวยและบริสุทธิ์แล้ว อาหารก็ยังอร่อยอีกด้วย เมื่อถึงที่พักเราแทบไม่อยากจะพักเลย เพราะที่นี่สวยยย มากกกก จิงจิง แต่ติดที่ว่า ห้องน้ำกับห้องพัก จะแยกกัน และไม่มีน้ำอุ่น ดูรูปกันได้เลยนะ
เป็นงัย...สวยละซิ โดยเฉพาะคนที่ใส่เสื่อสีม่วง...เห็นมะว่ามันยิ้มได้ยิ้มดี... มีคนทักว่าโตขึ้นน่าจะเข้าประกวดนางสาวไทยได้ แต่มันติดตรงที่ว่าสีผิว และความสูงนั้น..ยังไม่น่าจะเข้าตากรรมการเท่าไหร่ พ่อบอกว่า 2 สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ออสตินเหมือนแม่มากที่สุด.. นอกนั้นได้ของพ่อไปหมด ใช่ซิเลือดพ่อมันแรงงงงงงง....
พักกันอิ่มหนำสำราญแล้ววันรุ่งขึ้น พี่โอเปิ้ล พ่อ และ คุณย่าหญิงก็ทิ้งทวนการพักผ่อน ณ ผาด่าง รีสอร์ทในครั้งนี้ ด้วยการถีบจักรยานน้ำเล่นรอบบึงน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่บริเวณรีสอร์ท และออกจากแก่งกระจาน เดินทางมาหัวหิน แต่กว่าจะถึงเราก็แวะทำสังฆทานที่วัดแถวๆ ผาด่างในวันส่งท้ายปีเก่า แล้วก็ไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมพันมือ และ องค์เทพเจ้าของจีน ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ระหว่างทางที่จะกลับไปหัวหินพอดี ระหว่างการไหว้เทพเจ้าของจีนนั้น พี่โอเปิ้ลสนุกสนานมากที่ได้หยอดเงินใส่ตู้ จนแม่ต้องขอร้องไว้ว่า จะไหว้องค์ไหนก็ไหว้ได้ เออ..คืออ ลูกโอเปิ้ลครับ คุณแม่ขอร้องงง ว่าโปรดกรุณางดเว้นการไหว้พระไว้ 1 องค์นะลูกนะ นั่นก็คือ องค์เฮ่งเจีย นั่นเอง เพราะขนาดยังไม่ไหว้ยังซนขนาดนี้ ถ้าไหว้จะซนขนาดไหนกันเนี่ยะไหว้พระอิ่มบุญกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
วันต่อมาเราก็พักผ่อนนอนหลับ จับเจ่าอยู่กับบ้านและออกไปทานอาหารมื้อกลางวันกับคุณปู่และคุณย่า 3 ย่า ที่ปราณบุรี ได้กินกันจนอิ่มจัง ตังค์แม่อยู่ครบ แต่ตังค์พ่อหายไปจากกระเป๋าเรียบร้อยแล้วสำหรับมื้อนี้ (อิอิ สุขจิง จิง) จากนั้นก็กลับมาที่บ้านหัวหินเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอาหารการกินและที่พักรอรับการมาถึงของเพื่อนๆ ครอบครัวที่มาถึงครอบครัวแรก คือครอบครัวของอาแก่ อาตุ๊ก และน้องออกัส กิจกรรมของวันนี้ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากการกิน นอน และกินอาหารมื้อเย็นที่ร้านเจ๊เขียว ที่มีผู้คนนำเงินมาให้เจ๊แกกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งเลยทีเดียว เห็นว่าร้านนี้ดังและเด็ด แต่สำหรับแม่นั้น...แม่ว่ามันยังเฉยๆนะ ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ ตบท้ายการกินของคาวด้วยของหวานสุดโปรดของพี่โอเปิ้ลด้วยไอศครีมบาสกิ้น รอบบิ้น ส่วนน้องออสตินก็อยู่บ้านกะแม่ไปตามระเบียบ เพราะถึงเวลาเข้าอู่ของน้องออสตินพอดี...
วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2551
งานวันปีใหม่ของพี่โอเปิ้ล
เกริ่นกันมาตั้งนาน แล้วจะอัพเดท สุดยอดทริปอันหรรษา กันโอกาสต่อไปนะ ขอติดไว้ก่อน วันนี้ 26 ธันวาคม 2551 โรงเรียนพี่โอเปิ้ลจัดงานปีใหม่ให้กับเด็กๆ พร้อมกับมีการแสดงของเด็กๆ ให้ผู้ปกครองได้ชมกัน เริ่มต้นเปิดงานตั้งตอน 9 โมงเช้า เด็กๆ เข้าแถวเคารพธงชาติ สวดมนต์ และร้องเพลงสดุดีในหลวงของเรา จากนั้นผู้อำนวยการศูนย์กล่าวเปิดงาน และเริ่มการแสดงของเด็กๆ พี่โอเปิ้ลดูเหมือนจะเริ่มต้นด้วยดีกับการรำประกอบเพลง "มาลัยปีใหม่" และเมื่อจบเพลง น้องบุ๋นเพื่อนของพี่โอเปิ้ลก็เริ่มบรรเลงเพลงโหมโรง..."ฮือออออ ไม่อยากเต้นง่ะแม่ ไม่อยากเต้น" อาจจะเป็นอาการแทรกซ้อนเนื่องจากเพิ่มทานยาแก้อักเสบ ทำให้พี่โอเปิ้ลเริ่มหน้าเจื่อน..นิ่ง..และแล้ว...พี่โอเปิ้ลก็พูดออกมาดังๆว่า "โอเปิ้ลง่วงนอนง่ะแม่... โอเปิ้ลอยากกลับบ้านแล้วง่ะ" และก็ยืนนิ่งๆ ไม่ทำกิจกรรมอีกต่อไป จนมาถึงเพลง "ฉันคือก้อนเมฆ" ที่คุณแม่ตั้งตารอคอยเนื่องจากพี่โอเปิ้ลคุยฟุ้งว่า.."โอเปิ้ลเต้นเพลงฉันคือก้อนเมฆด้วยล่ะแม่ แม่ไปดูโอเปิ้ลด้วยนะ" ประกอบกับการชมของบรรดาคุณครูว่า "น้องโอเปิ้ลเก่งมากเลยค่ะ ตอนซ้อมเต้นสวยด้วย ร้องเพลงได้ด้วย" เป็นเหตุให้แม่อยากดูพี่โอเปิ้ลเต้นใจจะขาดแล้วเอ๋ยยยย..... ใจจะขาดแล้วเอยยยยยย ปรากฏว่า อาการนิ่งของพี่โอเปิ้ลก็ยังคงอยู่ แม้ว่าคุณครูจะเบรคให้พักกินนม และของว่างกันไปเรียบร้อยแล้วก็ตาม... จนในที่สุดช่วงเวลาของการแสดงก็จบลง พร้อมๆกับอาการง่วงหนาวหาวนอนของพี่โอเปิ้ลก็สิ้นสุดลงตามไปด้วย ช่วงของกิจกรรม "ครอบครัวสุขสันต์" เริ่มต้นขึ้น พร้อมกับอาการคึกคักจนออกนอกหน้าว่า "ฉันอยากเล่นแล้ว" ของพี่โอเปิ้ล พี่โอเปิ้ลชวนคุณพ่อ และคุณแม่เล่นเกมส์ ที่คุณครู และพี่เลี้ยง จัดไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็น การวิ่งไปหยิบของตามคำสั่ง ตั้งเม็ดถั่วลงขวดจนเต็ม และ ร้อยมักกะโรนีที่ชุบสีผสมอาหารสวยงามให้เป็นสายสร้อย ทุกกิจกรรมที่กล่าวมาพี่โอเปิ้ลทำสำเร็จด้วยความเต็มใจ และความสนุกสนาน สุดท้ายเมื่อกล่าวปิดงาน คุณแม่ก็กลายเป็นผู้ถือถุงของขวัญอันมากมายที่พี่โอเปิ้ลได้รับจากการเล่นเกมส์ในครั้งนี้ และทันทีที่ก้าวขึ้นรถ พี่โอเปิ้ลก็สิ้นเรี่ยวสิ้นแรงอีกครั้ง....และหลับไปในที่สุด....เฮ้อ..ในที่สุดคุณแม่ก็อดดูพี่โอเปิ้ลแสดงจนได้ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร คราวหน้าคุณแม่หวังว่าจะได้เห็นลูกยืนอยู่บนเวที พร้อมการแสดงที่มีความสุขของลูกก็แล้วกันนะคะ... หมายเหตุ ขอติดผู้อ่านเรื่องภาพเอาไว้ก่อนนะคะ เพราะยังไม่ได้ทำการโหลดลงเครื่องเลย จะรีบทำให้ในเร็ววัน และจะไม่ขี้เกียจอีกต่อไป ขอสัญญา แต่ตอนนี้ขอไปนอนก่อนนะ เพราะชีพจรเริ่มมาเกายิกๆๆๆ ที่เท้าอีกแล้ว... บายๆ
วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
หนีไปเที่ยวที่สามพราน
แล้วพ่อก็คิดเอง เออเองว่า เราไปเที่ยวสวนสามพรานกันดีกว่า กะว่าออกจากไปรษณีย์สำเหร่จะไปรับน้องออสตินมาเที่ยวด้วย แต่แม่ว่าน่าจะไม่ดีเพราะวัน สอง วันนี้ น้องออสตินมีน้ำมูกอยู่ ไม่อยากให้ออกมาตากแดด ตากลม นอกบ้าน...ถ้างั้นก็ตากแห้งอยู่กะบ้านไปก่อนแล้วกันนะจ๊ะ...คนนนน สวยยยยย
พ่อขับรถไปถึงที่สวนสามพรานราวๆ เที่ยงกว่าๆ ระหว่างเดินทางแม่ก็พยายามบังคับให้พี่โอเปิ้ลนอนหลับในรถให้ได้ ไม่เช่นนั้นพี่โอเปิ้ลจะออกอาการเด็กแว๊นนน แปร๋น แปร๋น เวลาง่วงนอนทุ๊กที แล้วความพยายามของแม่ก็เป็นผลพี่โอเปิ้ลหลับไปตลอดทางจนถึงที่หมายพี่โอเปิ้ลก็ตื่นขึ้นมาโดยมิได้นัดหมาย...
พ่อขับรถวนก่อน 1 รอบเพื่อสำรวจว่ามีอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง แล้วก็ตัดสินใจจอดรถ เพื่อเดินมาทานอาหารกลางวันกันก่อนเป็นอันดับแรก...แล้วเราก็ไม่ได้คาดฝันมาก่อนว่า เราจะได้เจอน้าจุ๊ น้าพจน์ และคุณตา คุณยาย (พ่อ และแม่ของน้าจุ๊) ที่นั่น เราทักทายบรรดาเพื่อนสนิทมิตรสหายกันพอหอมปากหอมคอ ก็แยกย้ายกันไปย้วยยย เอ๊ยย ไม่ช่ายย แยกกันไปเที่ยวตามที่แต่ละครอบครัวจะปรารถนา แต่เนื่องจากว่ากองทัพของครอบครัวเราต้องเดินด้วยท้อง เราก็เลยสั่งอาหารกลางวันรับประทานกันก่อนที่จะเดินเที่ยวกันเป็นรายการต่อไป
พอทานอาหารเสร็จ เราก็ไปเดินชมตลาดริมน้ำที่เค้าจัดไว้ให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และชาวไทย(ส่วนน้อย) ได้ชมบรรยากาศ และวิถีชีวิตของคนไทยที่อาศัยอยู่ริมน้ำ นอกจากจะมีการขายอาหาร และขนมไทยๆ แล้ว ยังมีหัตถกรรมพื้นบ้านของไทยอีกหลากหลายด้วย ออกจากตลาดริมน้ำ เราก็ตกลงกันว่าจะพาพี่โอเปิ้ลไปขี่ช้าง จับตั๊กแตนกันสักหน่อย... แต่แล้วเราก็ชวด ฉลู ขาล และเถาะ หรือเรียกสั้นๆว่า "แห้วรับประทาน" เนื่องจากช้างที่มีอยู่นั้นจะต้องนำไปแสดงให้ชาวต่างชาติชม (ราคาค่าเข้าชม 480 บาทต่อท่าน) หากต้องการขี่เพื่อถ่ายภาพ (สนนราคาท่านละ 50 บาท) ก็ต้องรอไปอีกประมาณ 45 นาที เราก็เลยตัดสินใจไม่ขี่มันแล้วล่ะช้างน่ะ ไปขี่จักรยานน้ำ หรือ เรือถีบ ภาษาบ้านๆเราก็ได้ (วะ) ราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่ครึ่งชั่งโมง 40 บาท เท่านั้นเอง จิ๊บ จิ๊บบบ
เสร็จจากการถีบ..เรือ ก็ออกรถไปจอดแถวสนามเด็กเล่นซึ่งอยู่ไกลออกไปอีกไม่มากนัก แต่ที่ต้องนั่งรถไปเพราะแม่น่องโป่งไปเรียบร้อยแล้วน่ะซิ เหนื่อยมั่ก มากกก ก็สนุกสนานกันไปสักพัก เมฆฝนก็ครึ้มมม มาแต่ไกล ทำให้เราได้ฤกษ์กลับบ้านกันซะที...แต่กว่าจะถึงบ้านได้ เราก็แวะช้อปปิ้งกันอีก 1 ยกที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า เฮ้อ..วันนี้ทั้งวัน พี่โอเปิ้ลก็เลยได้เพลิดเพลินไปกับการเที่ยว เที่ยว และเที่ยว จนฉ่ำปอดกันไปเลยทีเดียวครับ..เจ้านาย